วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

การบันทึกครั้งที่ 2 วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ.2560

การบันทึกครั้งที่ 2
วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ.2560


เนื้อหาที่เรียน ความรู้ที่ได้รับ

ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษะทางความสามารถสูง มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา
เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Child)
 เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญา มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน 
ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
  • พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน 
  • เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย 
  • อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม 
  • มีเหตุผลในการแก้ปัญหา การใช้สามัญสำนึก 
  • จดจำได้รวดเร็วแม่นยำ 
  • มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย 
  • มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลก ๆ 
  • เป็น้คนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต 
  • มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน 
  • ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน 
เด็กฉลาด
  • ตอบคำถาม 
  • สนใจเรื่องที่ครูสนอ 
  • ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน 
  • ความจำดี 
  • เรียนรู้ง่ายและเร็ว 
  • เป็นผู้ฟังที่ดี 
  • พอใจในผลงานของตน
Gifted
  • ตั้งคำถาม 
  • เรียนรู้สิ่งที่สนใจ 
  • ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า 
  • อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน 
  • เบื่อง่าย 
  • ชอบเล่า 
  • ติเตียนผลงานของตน

2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
  • เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา 
  • เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน 
  • เด็กที่บกพร่องทางการเห็น 
  • เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ 
  • เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา 
  • เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ 
  • เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้ 
  • เด็กออทิสตก 
  • เด็กพิการซ้อน 
เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities)
 เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และ เด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
  • สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้ 
  • เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ 
  • ขาดทักษะในการเรียนรู้ 
  • มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย 
  • มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90 
สาเหตุของการเรียนช้า
1. ภายนอก 
  • เศรษฐกิจของครอบครัว 
  • การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก 
  • สภาะวะทางด้านอารณ์ของคนในครอบครัว 
  • การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ 
  • วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ 
2. ภายใน
  • พัฒนาการช้า 
  • การเจ็บป่วย 
เด็กปัญญาอ่อน
  • ระดับสติปัญญาต่ำ
  • พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย 
  • มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง 
  • อาการแสดงก่อนอายุ 18
พฤติกรรมการปรับตน
  • การสื่อความหมาย 
  • การดูแลตนเอง 
  • การดำรงชีวิตภายในบ้าน 
  • การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม 
  • การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน 
  • การควบคุมตนเอง 
  • การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน 
  • การใช้เวลาว่าง 
  • การทำงาน 
  • การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น
เด็กปัญญาอ่อน แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม

1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
  • ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย 
  • ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น 
  • แขนขาลีบ 
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 C.M.R
  • ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้อต้นง่าย ๆ 
  • กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental Retardation) 
3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49 T.M.R
  • พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้ 
  • สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้ 
  • เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)
4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 E.M.R
  • เรียนในระดับประถมศึกษาได้ 
  • สามารถฝึกอีพและงานง่าย ๆ ได้ 
  • เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded) 
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
  • ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย 
  • ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก 
  • ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงว่าย รอคอยไมม่ได้ 
  • ทำงานช้า 
  • รุนแรง ไม่มีเหตุผลงอวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน 
  • ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน 
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome


สาเหตุ
  • ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 
  • ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21 ) 
อาการ 
  • ศีรษะเล็กและเบน คอสั้น 
  • หน้าแบน ดั้งจมูกแบน 
  • ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก 
  • ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ 
  • เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต 
  • ช่องปากแคบ ลื้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ 
  • มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น 
  • เส้นลายมือตัดขวง นิ้วก้อยโค้งงอ 
  • ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง 
  • มีความผิดปกติในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย 
  • บกพร่องทางสิตปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง 
  • อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร 
  • มีปัญหาในการใช้ภาาษาและการพูด 
  • อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง 
  • เป็นหมันในเพศชาย 
  • ผู้หญิงสามารถท้องได้ 
การตรวจวินิจฉัยก่อนกลุ่มอาการดาวน์
  • การเจาะเลือของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์ 
  • อัลตราซาวด์ 
  • การตัดชิ้นเนื้อรก 
  • การเจาะน้ำคร่ำ
ด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired)

เด็กที่มีความบกพร่องหรือสูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่างๆได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก 
เด็กหูตึง
 เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 db เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิหรือเสียงที่ไกล ๆ 
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
  • เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ตั้งใจในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
  • จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
  • มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไมัด ออกเสียงเพี้ยน
  • พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB
  • เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
  • เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
  • มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
  • มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
  • พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยง บางคนไม่พูด
4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
  • เด้กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
  • ได้ยินเฉพาะเสียงดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
  • การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง 
  • เด็กจะมีปัญาในการแยกเสียง
  • เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
  เด็กหูหนวก
  • เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
  • เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
  • ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
  • ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
ลักษะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
  • ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง 
  • ไม่พูด มักแสดงท่าทาง 
  • พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์ 
  • พูด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง 
  • พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกิดความจำเป็น 
  • เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด 
  • รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว 
  • มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย 
เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)
  • เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง 
  • มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองช้าง 
  • สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1-10 ของคนสายตาปกติ 
  • มีลานสายตากว้าไม่เกิน 30 องศา 
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด
  • เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง 
  • ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้ 
  • มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60, 20-200 ลงมาถึงจนบอดสนิท 
  • มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
** คนปกติจะมีลานสายตา 160 องศา ที่จะมองเห็นได้ **
เด็กตาบอดไม่สนิท
  • เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา 
  • สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ 
  • เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20-60, 6/60 ,20-200 หรือน้อยกว่านั้น 
  • มีลานสายตาโดยเฉลี่ยสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา


ลักษะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
  • เดินงุ่มง่าม ซนและสะดุดวัตถุ 
  • มองเห็นสีผิดไปจากปกติ 
  • มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา 
  • กัมศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า 
  • เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา 
  • ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน 
  • มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต 
ความรู้ที่ได้รับ
- การทบทวนความรู้เดิมที่มีอยู่
- เทคนิคการทัศนะคติที่ดีต่อเด็ก
- การทราบถึงความหมาย อาการและเทคนิคการจัดการเรียนการสอนแก่ที่มีความต้องการพิเศษ
การนำไปใช้
- นำความรู้ที่ได้เรียนไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนกับเด็กพิเศษ เราจะต้องจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับอาการของเด็กเเต่ละคน สอนให้เด็กเข้าใจและสอนให้เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันได้
ประเมิน 
ตนเอง : เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายถูกระเบียบ
เพื่อน : ไม่พูดเสียงดัง มีมารยามในการเรียนการสอน
อาจารย์ : แต่งกายสุภาพ พูดจาไพเราะ มีความเป็นกันเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น